รถไฟฟ้า (Electric Vehicle) หรือที่นิยมเรียกกันว่า รถ EV ถือว่าเป็นทางออกหนึ่งที่จะเพิ่มโอกาสให้ประเทศไทยสู่ Net-zero การมุ่งหน้าพัฒนาให้เกิดการยอมรับในตลาดจึงเป็นโจทย์ที่สำคัญ
จากรายงานแนวโน้มระยะยาวของรถยนต์ไฟฟ้าโดยบลูมเบิร์ก นิว เอเนอร์จี้ ไฟแนนซ์ ได้คาดการณ์ว่ายอดขายรถยนต์โดยสารไฟฟ้าจะเติบโตอย่างรวดเร็วในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยเพิ่มขึ้นจาก 6.6 ล้านคันในปี 2021 เป็น 21 ล้านในปี 2025
ตามความเป็นไปได้ของการขับเคลื่อนโดยการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจ จำนวนรถไฟฟ้าที่วิ่งบนถนนทั้งหมดจะเพิ่มขึ้นเป็น 77 ล้านคันในปี 2025 ซึ่งสะท้อนความสำเร็จของการเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานสู่รถยนต์ไฟฟ้ามาจนถึงปัจจุบัน
ดังนั้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการขนส่งทางถนนทั่วโลกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 รถยนต์ที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์จะต้องมีจำนวน 61% ของยอดขายใหม่ของรถยนต์โดยสารภายในปี 2030 และเป็น 93% ภายในปี 2035
หลังจากนั้นจะต้องไม่มีการขายรถยนต์สันดาปหลังจากปี 2038 รวมไปถึงเทคโนโลยีเก็บพลังงานไฟฟ้าสำรองไว้ในแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้า และป้อนกลับเข้าสู่ระบบโครงข่ายไฟฟ้าเมื่อไม่ได้ใช้งาน จะมีบทบาทสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และเพิ่มมูลค่าให้แก่ผู้บริโภค
สำหรับประเทศไทยวางเป้าหมายสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 และจะก้าวต่อไปสู่เป้าหมาย การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net zero) ภายในปี 2065 ตามเทรนด์เดียวกับประชาคมโลก
เหตุนี้ทำให้ไทยต้องเร่งลด การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทุก ๆ ทาง โดยเฉพาะจากภาคการขนส่ง โดยลดการใช้รถยนต์สันดาปที่ใช้พลังงานจากฟอสซิลไปสู่รถ EV
ซึ่งภาครัฐได้มีแผนพัฒนารถยนต์ EV โดยกำหนดเป้าหมายไว้ว่าในปี 2030 ต้องผลิตรถ EV รถซีดานและรถกระบะให้ได้ 725,00 คัน รถจักรยานยนต์ EV 675,000 คัน รถบัสรถบรรทุก EV 34,000 คัน หรือคิดเป็น 30% ของการผลิตทั้งหมด ซึ่งช่วงเดือนมกราคม-สิงหาคม 2023 ยอดจดทะเบียนรถ EV ทั่วประเทศ มีจำนวน 57,670 คัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมและความต้องการเปลี่ยนมาใช้รถ EV
นอกจากนี้รัฐบาลยังมีมาตรการกระตุ้นตลาด ทำให้ราคารถ EV ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ด้วยการลดหย่อนภาษีรถ EV สูงสุด 1.5 แสนบาท และการลดภาษีสรรพสามิต จาก 8% เหลือเพียง 2% ทำให้ตลาดเติบโตกว่า 400%
รถ EV เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีทางเลือกที่ช่วยลดมลพิษทางอากาศ ทำให้หลายคนสนใจอยากจะมีไว้ใช้เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น ในวันข้างหน้าเราจะได้เห็นรถ EV บนท้องถนนมากขึ้น
แต่ไม่ต้องกังวลไปหากคุณยังไม่สามารถเปลี่ยนหรือซื้อรถ EV มาใช้ในตอนนี้ ก็สามารถช่วยลดลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ เพียงแค่ลดการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว หันมาใช้การขนส่งสาธารณะ เดินหรือขี่จักรยาน ซึ่งแม้เราปรับวิธีการเดินทางกันเพียง 10% ภายในปี 2050 ก็จะทำให้มีจำนวนรถยนต์บนถนนลดลงถึง 200 ล้านคัน ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์รวมได้ถึง 2.25 กิกะตัน
เพียงแค่เราใส่ใจ ไม่ว่าจะเป็นวิธีการใดที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก็เป็นสิ่งที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมโดยรวมที่เราทุกคนมีส่วนช่วยที่สำคัญเช่นกัน
ขอบคุณที่มา : กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
https://www.facebook.com/dcceth
Image by Freepik